แหล่งรวมเกมส์ชั้นนำ คาสิโน บาคาร่า ไฮโล ครบพร้อมระบบล้ำทันสมัย รวดเร็วทันใจ

ประวัติศาสตร์ นกโดโด้ (Dodo) สัตว์บินไม่ได้แห่งเกาะมอริเชียส

ประวัติศาสตร์ นกโดโด้

ประวัติศาสตร์ นกโดโด้ (Dodo) มันเป็นสัตว์ปีกบินไม่ได้ เคยมีถิ่นกำเนิดในเกาะมอริเชียส โดยถูกค้นพบจากชาวโปรตุเกสเป็นกลุ่มแรก ในปี ค.ศ. 1505-1507 จนกระทั่งนกสูญพันธุ์เมื่อปี 1681 ส่วนข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ ศึกษาต่อด้านล่าง

ชื่อจริงของโดโด้ คืออะไร

เดิมทีชื่อแรกที่ใช้เรียก ประวัติศาสตร์ นกโดโด้ คือ Walghvoghel ตั้งขึ้นโดยพลเรือชาวดัตช์ โดยเป็นการนำ 2 คำอย่าง Walghe แปลว่า จืดชืด และคำว่า voghel แปลว่า นก หลังจากนั้นแต่ละกลุ่มคน ก็เรียกนกชนิดนี้ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น fotilicaios, Dronte, griff-eendt, kermisgans เป็นต้น

พบเห็นนกโดโด้ครั้งแรก และสาเหตุการสูญพันธุ์

จากบันทึกของกะลาสีเรือ จากโปรตุเกสในปี 1507 เป็นการพบเห็นนกชนิดนี้ครั้งแรก ก่อนที่จะมีชาวดัตช์มาถึงเกาะ และนกบินไม่ได้จึงกลายเป็นเป้าหมายการล่าสัตว์ เนื่องจากพวกมันไม่กลัวมนุษย์ และวางไข่บนพื้นดิน เมื่อชาวยุโรปเพิ่มมากขึ้น จำนวนนกจึงค่อยๆ ลดลง

เนื่องจากมีการนำสัตว์อื่น เช่น กวาง หมู แพะ ไก่ สุนัข หรือแมว เข้ามาในเกาะ ในปี 1690 นกได้สูญพันธุ์จากป่า โดยตัวสุดท้ายที่คนรู้จัก ตายในกรงเมื่อปี 1681 และเชื่อว่านกดังกล่าว สูญพันธุ์ถาวรระหว่างปี 1681-1693 [1] แต่การยอมรับว่านกสูญพันธุ์แล้วจริงๆ เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 19

การมาถึงเกาะของนกโดโด้ ไม่แน่ชัดว่าคือเมื่อไหร่ โดยจากการศึกษาเมื่อปี 2002 พบว่าพวกมันเป็นญาติกับสายพันธุ์ โรดริเกซ โซลิแทร์ (Pezophaps solitaria) โดยพวกมันปรับตัวด้วยการเพิ่มขนาดตัว ทำรังบนดิน แล้วค่อยๆ บินไม่ได้ ซึ่งมีสัตว์นักล่าบนเกาะไม่กี่ตัว แต่ถูกล่าจากมนุษย์และสัตว์เลี้ยงแทน

ถิ่นกำเนิดโดโด้ พบเห็นเฉพาะพื้นที่ไหน

ประวัติศาสตร์ นกโดโด้

ถิ่นกำเนิดของโดโด้ อยู่บนเกาะมอริเชียส (Mauritius) ในยุคที่ยังไม่เป็นประเทศ เกาะนี้ตั้งอยู่นอกชายฝั่งทวีปแอฟริกา เป็นพื้นที่ของมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากทิศตะวันออกมาดากัสการ์ราว 900 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 2,040 ตร. กม. ส่วนข้อมูลเพิ่มเติม มีดังนี้

  • ล้อมรอบด้วยหลายเกาะ : เช่น เกาะร็อดริก, เกาะแฝดอากาเลกา
  • พื้นที่ : ห่างจากตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียเกือบ 4 กม.
  • เมืองหลวง : พอร์ตลูอิส (Port Louis)
  • เชื้อชาติ : มากสุดคือ อินเดีย-มอริเชียส 67%
  • ศาสนา : มากสุดคือ ศาสนาฮินดู 48.54%
  • ประชากร : 1,265,475 คน (*ปี 2019)
  • ภาษา : ไม่มีภาษาทางการ แต่รัฐสภานิยมใช้ภาษาฝรั่งเศส และอังกฤษ

ที่มา: ประเทศมอริเชียส [2]

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนกบินไม่ได้แห่งมอริเชียส

ข้อแรกคือมันบินไม่ได้ อยู่ในกลุ่มเดียวกับนกเพนกวิน นกกระจอกเทศ หรือไก่ ข้อต่อมาคือมันวางไข่ครั้งละ 1 ฟอง เนื่องจากแต่ก่อน ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ มันจึงวางไข่แค่ฟองเดียว และทำรังบนดิน ซึ่งสองข้อเท็จจริงนี้ อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผล ที่ทำให้มันสูญพันธุ์

นกโดโด้ลักษณะเป็นแบบไหน

  • นกรูปร่างใหญ่ ขนสีน้ำตาลเทา ปีกขนาดเล็ก ขาแข็งแรง และมีจะงอยปากใหญ่
  • ข้อมูลจากนิตยสาร Biologist ปี 2004 บอกว่า ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย
  • แต่เมื่อเทียบกับไก่งวง หรือหงส์ป่า โดโด้จะตัวเตี้ย แต่น้ำหนักเยอะกว่า
  • ตามข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (NHM) ระบุว่า มันมีสมองที่ใหญ่
  • เป็นสัตว์ที่ว่องไว ค่อนข้างฉลาด และอาจจะมีประสาทรับกลิ่นที่ไว [3]
  • หัวสีเทาหรือไม่มีขน ปากสีเขียว ดำ หรือเหลือง ขาสีน้ำตาล กรงเล็บสีดำ
  • ความสูงประมาณ 62.6-75 ซม. ตัวผู้อาจมีน้ำหนัก 21 กก. ตัวเมียอาจหนัก 17 กก.
  • ขนบริเวณหางเป็นกระจุกสีขาว คล้ายกับหงส์หรือเป็ด

ญาติใกล้ชิดโดโด้ที่มีชีวิตอยู่ คือนกตัวไหน

ประวัติศาสตร์ นกโดโด้

ญาติใกล้ชิดของโดโด้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ คือ นกพิราบพันธุ์ชานิโคบาร์ หรือชื่อไทยว่า “นกชาปีไหน” อาศัยบนหมู่เกาะอันดามัน เกาะมาเลย์ ไปจนถึงเกาะปาเลา แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ C. n. nicobarica และ C. n. pelewensis Finsch และมีข้อมูลจำเพาะที่น่ารู้ ดังนี้

  • ชื่อสามัญ : Nicobar pigeon / Caloenas nicobarica
  • ชื่ออื่น : นกชาปีไหน, นกเขาชวา, ปาโลมา เด นิโคบาร์ (ภาษาสเปน)
  • ขนาดตัว : ยาวประมาณ 40 ซม. ตัวเมียเล็กกว่าตัวผู้
  • ลักษณะ : หัวสีเทา หางสีขาวสั้นมาก ขนส่วนใหญ่เป็นสีเมทัลลิก ขาและเท้าสีแดง นกที่ยังไม่โตจะมีหางสีดำ ชนิด C. n. pelewensis มีขนคอที่สั้นกว่า ส่วนลักษณะอื่นเหมือนกันหมด
  • พฤติกรรม : บินเป็นฝูง ไม่กลัวมนุษย์ ทำรังในป่าทึบ ส่งเสียงซ้ำๆ โทนแหลมต่ำ
  • ถิ่นอาศัย : หมู่เกาะนิโคบาร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ และยังพบในหมู่เกาะเมอร์กุย นอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของไทย คาบสมุทรมาเลเซีย ตอนใต้ของกัมพูชาและเวียดนาม เกาะสุมาตรา และหมู่เกาะโซโลมอน
  • สถานะ : อยู่ในรายชื่อที่ 1 ของ CITES ห้ามค้าขาย นกโตเต็มวัยเหลือประมาณ 1,000 ตัว ชนิด C. nicobarica ใกล้สูญพันธุ์ในบัญชีแดงของ IUCN

ที่มา: Nicobar pigeon [4]

สรุป ประวัติศาสตร์ นกโดโด้

ประวัติศาสตร์นกบินไม่ได้ บนเกาะมอริเชียส ที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อก่อนปี 1700 ถูกพบเห็นโดยชาวโปรตุเกส แต่ถูกล่าโดยชาวดัตช์ ความพิเศษคือวางไข่แค่ครั้งละฟอง ขนสีเทา หางสีขาวล้วนเป็นกระจุก ปัจจุบันสายพันธุ์ที่สันนิษฐานว่า อยู่ในตระกูลเดียวกัน ก็มีโอกาสสูญพันธุ์อีกไม่นาน !

นกชนิดนี้จะกลับมาได้อีกไหม

จากคำกล่าวของเบธ ชาปิโร (Beth Shapiro) ซึ่งเป็นนักชีววิทยาโมเลกุล จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานตาครูซ บอกว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก DNA ของนกมีน้อยมาก แถมยังมีการสืบพันธุ์ที่ซับซ้อน และถิ่นอาศัยของมันยังเปลี่ยนไปอีกด้วย

สามารถชมซากโดโด้ได้จากที่ไหน

หากต้องการเยี่ยมชม ซากนกโดโด้ มีจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่เดียวที่มีฟอสซิลเหลืออยู่ ประกอบด้วย กะโหลกศีรษะด้านซ้าย, กระดูกดวงตา, กระดูกต้นขา หรือสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ University of Oxford

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง