
แข่งมวย หมากรุก กีฬาไฮบริดระหว่างหมากรุกและมวย
- J. Kanji
- 22 views
แข่งมวย หมากรุก คือกีฬาที่ดูเหมือน เอาสองโลกที่ต่างกันสุดขั้ว มารวมไว้ในเวทีเดียว โลกของการใช้กำลัง กับโลกของการใช้สมอง ถ้าเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่จะนั่งคำนวณกลยุทธ์ แล้วลุกขึ้นมาออกหมัด ใส่คู่แข่งในอีกไม่กี่นาที นี่แหละคือกีฬา ที่ทำให้เราต้องคิดใหม่
กีฬานี้เกิดจากแนวคิดสุดบรรเจิด ของศิลปินชาวฝรั่งเศส-ดัตช์ชื่อว่า Iepe Rubingh ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ มาจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Froid Équateur” โดย Enki Bilal ที่นำเสนอแนวคิด ของการต่อสู้แบบสลับกัน ระหว่างหมากรุก กับการชกมวย
จริงๆแล้ว Rubingh ไม่ได้หยิบมาทั้งหมด แต่ดัดแปลงให้สมจริงขึ้น และในปี 2003 การแข่งขันแข่งมวย หมากรุกครั้งแรกก็เกิดขึ้น ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทั้งงง ทั้งฮือฮาในวงการกีฬา [1]
รูปแบบของแข่งมวย หมากรุก แบ่งเป็น 11 ยก โดยสลับกัน ระหว่างการเล่นหมากรุก (4 นาที) และการชกมวย (3 นาที) เริ่มต้นด้วยการเล่นหมากรุกก่อน จากนั้นสลับไปชกมวย แล้วกลับมาเล่นหมากรุกอีก วนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผู้ชนะ การชนะจะมาสามารถชนะได้ 3 แบบเลย [2]
ใครที่คิดจะมาสายบู๊ หรือสายนักคิดอย่างเดียว บอกเลยว่าไม่รอด ต้องฝึกทั้งหมัด และหมากพร้อมกัน
สิ่งที่ทำให้กีฬานี้ยากสุด ๆ คือร่างกาย กับสมองต้องพร้อมพอ ๆ กัน ลองคิดดูว่า พอชกไปเหนื่อยหอบ ใจเต้นแรง แล้วต้องมานั่งเดินหมาก อย่างมีสมาธิ มันไม่ง่ายเลย นักกีฬาแข่งมวย หมากรุก ต้องฝึกทั้งสองอย่างควบคู่ ทั้งซ้อมมวย และฝึกหมากรุก อย่างจริงจัง
บางคนที่เก่งหมากรุก แต่ร่างกายไม่ไหว จะพ่ายแพ้ในยกมวย ขณะที่นักมวยที่ชำนาญหมัด แต่ไม่เข้าใจการวางแผน ก็แพ้บนกระดานได้เหมือนกัน ความสมดุลนี่แหละ คือหัวใจสำคัญ
แม้จะฟังดูแปลก แต่ความสนุกของ แข่งมวยหมากรุก อยู่ที่การสลับโหมด ของสมองแบบสุดขั้ว นอกจากจะได้เห็น หมัดต่อหมัด ยังได้ดูจังหวะการคิดอ่าน และความนิ่งของผู้เล่น มันคือการต่อสู้ ทั้งร่างกาย และจิตใจที่แท้จริง
ผู้ชมจะได้ลุ้นทุกวินาที ตอนชกก็ลุ้นว่า จะโดนน็อกไหม ตอนเล่นหมากรุก ก็ลุ้นว่าจะพลาดท่า ถูกรุกฆาตหรือเปล่า มันจึงเป็นความตื่นเต้น ที่เปลี่ยนอารมณ์ ได้ตลอดเกม
ยิ่งไปกว่านั้น แข่งมวยหมากรุกยังเป็นเวที ที่แสดงให้เห็นถึง “ความกล้าแบบใหม่” กล้าที่จะเปิดเผยจุดอ่อน ไม่ใช่แค่กล้าแลกหมัด แต่กล้าพลาดบนกระดาน ให้คนทั้งสนามเห็น เป็นความเปราะบาง ที่คนดูเข้าใจ และยิ่งทำให้ลุ้นหนัก เข้าไปอีก
แม้จะเริ่มจากยุโรป แต่แข่งมวยหมากรุก ก็ขยายวงกว้างไปทั่วโลก มีการแข่งขันในหลายประเทศ ทั้งสหราชอาณาจักร อินเดีย รัสเซีย สหรัฐฯ และจีน โดยมีองค์กรอย่าง World Chess Boxing Organisation (WCBO) คอยดูแลมาตรฐาน และจัดการแข่งขัน ระดับนานาชาติ [3]
บางประเทศยังใช้กีฬานี้ เป็นสื่อการสอนในโรงเรียน หรือกิจกรรมพิเศษ เพื่อพัฒนา EQ และ IQ ไปพร้อมกัน ในบางเวทีระดับโลก ยังมีถ่ายทอดสดทางทีวี และมีฐานแฟนคลับ ติดตามอย่างเหนียวแน่น
ในอินเดีย และรัสเซีย มีการจัดแข่งประจำปี ที่ดึงดูดทั้งนักหมากรุกอาชีพ และนักมวยสมัครเล่น มาแข่งขันกันอย่างจริงจัง ขณะที่ฝั่งยุโรปตะวันตก เริ่มมีการผลักดัน ให้เข้าสู่หลักสูตรการเรียนรู้ แบบใหม่ในโรงเรียน เพื่อให้เด็กฝึกคิดเร็ว และตัดสินใจ ภายใต้ความกดดัน
การแข่งมวยหมากรุก ไม่ได้เป็นแค่กีฬาผสมแปลก ๆ แต่ยังสะท้อนแนวคิด เรื่องความสมดุล ระหว่างพลัง กับปัญญา มันแสดงให้เห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ คนที่แข็งแรงอย่างเดียว หรือฉลาดอย่างเดียว แต่อาจเป็นทั้งสองได้ ในคนเดียวกัน
แนวคิดนี้สอดคล้อง กับกีฬาแหวกแนวอื่น ๆ เช่น กีฬาแบกภรรยา วิ่งแข่ง หรือ แข่งอูฐ มอเตอร์สปอร์ต ที่แสดงให้เห็นว่า กีฬาไม่จำเป็นต้อง อยู่ในกรอบเดิม ๆ เสมอไป ความสนุก บ้าบิ่น และความสร้างสรรค์ ก็สามารถรวมอยู่ ในสนามเดียวได้อย่างลงตัว
แข่งมวย หมากรุก เป็นกีฬาที่เปลี่ยนภาพจำ ของการออกกำลังกาย มันเป็นทั้งความดุดัน และความสงบ ทั้งความวุ่นวาย และความนิ่งในเวทีเดียว ใครที่กำลังมองหากีฬา ที่ฝึกทั้งร่างกาย และสมอง ในเวลาเดียวกัน นี่แหละ คือการท้าทาย ที่น่าลองที่สุด อย่างหนึ่งในยุคนี้
ถ้าเก่งอย่างเดียว มีโอกาสแพ้อีกฝั่งได้ง่าย ๆ การซ้อมควรแบ่งเวลาให้สมดุล และฝึกให้ร่างกาย กับสมอง ทำงานร่วมกันได้ดี เพราะในการแข่งขันจริง ๆ ไม่ว่าจะหมากรุก หรือมวย ต่างก็มีน้ำหนักเท่ากัน ในการตัดสินแพ้ชนะ นักกีฬามืออาชีพ จึงมักมีโค้ชทั้งสองด้าน เพื่อให้สมรรถภาพทั้งกาย และสติอยู่ในระดับสูงสุด
ยังไม่มี เพราะยังไม่แพร่หลาย แต่เริ่มมีความสนใจ จากกลุ่มที่ชอบกีฬาแนวใหม่ และบางชมรมหมากรุก หรือยิมมวย ก็เริ่มพูดถึงบ้างแล้ว ใครรู้ตัวว่าแนวนี้ ลองรวมกลุ่มซ้อมกันดูได้เลย เพราะกติกาไม่ซับซ้อนมาก และยังเป็นจุดเริ่มต้น ของชุมชนเล็ก ๆ ที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต