
แข่งอูฐ มอเตอร์สปอร์ต แห่งทะเลทราย
- J. Kanji
- 48 views
แข่งอูฐ มอเตอร์สปอร์ต อาจฟังดูเหมือนกิจกรรมพื้นบ้าน ที่คนเฒ่าคนแก่เล่นกัน ในทะเลทราย แต่ได้เห็นภาพจริง จะรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่การขี่อูฐเฉย ๆ แต่มันคือเวทีการแข่งขัน ที่ผสมผสานวัฒนธรรมเก่า แก่กับเทคโนโลยีล้ำยุค จนกลายเป็นกีฬาที่ทั้งมัน และทั้งเท่สุด ๆ ประหนึ่งมอเตอร์สปอร์ต เวอร์ชันทรายร้อน เลยทีเดียว
การแข่งขันอูฐ มีต้นกำเนิดจาก วัฒนธรรมชนเผ่าเบดูอิน ที่ใช้ชีวิตในทะเลทราย มานานแสนนาน อูฐไม่ใช่แค่สัตว์พาหนะ แต่เป็นเพื่อนคู่ใจ เป็นสมบัติ เป็นศักดิ์ศรี การแข่งอูฐจึงเริ่มต้น จากการเปรียบฝีเท้าของอูฐ ในงานชุมนุมของชนเผ่า
ต่อมากลายเป็นกิจกรรม ประจำเทศกาล จนพัฒนาเป็นกีฬา ระดับประเทศ มีสนามแข่งมาตรฐาน ลู่วิ่งยาวเป็นกิโลเมตร และมีเงินรางวัลสูง ถึงหลักล้าน [1]
ทุกวันนี้ อูฐที่ชนะสามารถสร้างชื่อเสียง ให้เจ้าของได้ระดับประเทศ มีการซื้อขายอูฐ แข่งกันแบบจริงจัง และแม้กระทั่ง เปิดบริษัทดูแลสายพันธุ์ ที่ใช้แข่งโดยเฉพาะ เรียกได้ว่า เปลี่ยนจากการวัดศักดิ์ศรีเผ่า มาเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ ในโลกสมัยใหม่
ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครขี่อูฐลงแข่งกัน อีกต่อไป เพราะเพื่อความปลอดภัย และจริยธรรม แต่ใช้ “จ็อกกี้หุ่นยนต์” แทนคน หุ่นยนต์ตัวเล็ก ๆ น้ำหนักเบานี้ จะติดตั้งอยู่บนหลังอูฐ ควบคุมจากระยะไกล ด้วยรีโมตที่อยู่ในรถยนต์ ซึ่งวิ่งขนานไปกับสนาม เจ้าของสามารถ สั่งให้หุ่นยนต์เชียร์ หรือตีเบา ๆ
เพื่อกระตุ้นอูฐได้ มันทั้งล้ำ ทั้งฮา และทั้งดูจริงจัง แบบคาดไม่ถึง บางรุ่นมีลำโพงในตัว พูดได้หลายภาษา มีระบบ GPS และระบบสั่นเตือนอัตโนมัติ มีการอัปเกรดซอฟต์แวร์ เหมือนมือถือ และในบางงานแข่งใหญ่ ๆ หุ่นยนต์จ็อกกี้ ยังถูกแต่งตัวให้เข้าชุดกับอูฐ เพื่อสร้างความโดดเด่นอีกด้วย [2]
บรรยากาศวันแข่ง ไม่ธรรมดาเลย เพราะนอกจากอูฐ ที่วิ่งกันตีนระเบิด บนสนามทราย ยังมีรถ SUV หลายสิบคัน วิ่งตามขอบสนาม ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน ทุกคนในรถ มักจะเป็นเจ้าของอูฐ หรือทีมงาน กดรีโมต เชียร์อูฐตัวเองผ่านลำโพง เปิดหน้าต่างโบกไม้โบกมือ บางทีก็มีเสียงตะโกน ดังกว่าเสียงลำโพงซะอีก
มันคือ chaos ที่มีระเบียบ และสนุกจนลืมไปเลยว่า นี่คือทะเลทราย ไม่ใช่สนามแข่ง F1 บางครั้งการแข่งขัน ไม่ได้มีเพียงอูฐ แต่มีกองถ่าย นักข่าว และแฟนคลับ ที่ยืนดูอยู่รอบสนาม กลายเป็นงานเฟสติวัล ที่รวมทั้งครอบครัวมาชมได้ บางคนมาร่วมกันทั้งเผ่า พร้อมธง ชุดประจำท้องถิ่น และเสียงกลองรัวรอบสนาม
อูฐที่ลงแข่ง ไม่ใช่อูฐธรรมดา ๆ ตามท้องตลาด พวกมันได้รับการฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น มีเทรนเนอร์ประจำตัว อาหารเฉพาะทาง เครื่องตรวจสุขภาพ และแม้กระทั่ง นักกายภาพบำบัด บางตัวมูลค่าสูง ถึงหลักสิบล้านบาท มีสายพันธุ์เฉพาะสำหรับแข่ง มีโครงสร้างร่างกายที่เบา และสูงเพรียว คล้ายม้าแข่งเลยก็ว่าได้
เทรนเนอร์แต่ละคน มีวิธีฝึกต่างกัน บางเจ้าถึงขั้น ใช้เครื่องวิ่งลู่วิ่งในร่ม ติดเซนเซอร์จับการเต้นหัวใจ และควบคุมโภชนาการ แบบเข้มข้น อูฐบางตัวมีเมนูอาหารเฉพาะ เช่น ข้าวบาร์เลย์บด ผสมน้ำผึ้ง หรือสมุนไพรฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หลังการซ้อมหนัก
กีฬาแข่งอูฐ ไม่ได้จำกัดแค่ ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่กระจายไปทั่วภูมิภาค ตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ โอมาน ฯลฯ มีรายการแข่งขันประจำปี หลายรายการ เช่น Al Marmoom Camel Racing Festival (ดูไบ)
และ King Abdulaziz Camel Festival (ซาอุดีอาระเบีย) บางรายการมีถ่ายทอดสด มีทีมสปอนเซอร์ และแฟนคลับตัวจริงเสียงจริง และหากพูดถึง กีฬาแปลกทั่วโลก [3]
กีฬาแข่งอูฐก็นับว่า อยู่ในลิสต์เดียวกับ กีฬาแบกภรรยา วิ่งแข่ง ของฟินแลนด์ ที่ทั้งฮา เหนื่อย และจริงจัง ในเวลาเดียวกัน ทั้งสองกีฬา ต่างสะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น ในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร และดึงดูดสายตาจากทั่วโลก ได้ไม่แพ้กีฬาเมนสตรีม
สิ่งที่ทำให้กีฬาแข่งอูฐ น่าหลงใหลไม่ใช่แค่ความเร็ว หรือเงินรางวัลมหาศาล แต่มันคือการผสมผสาน ระหว่างวัฒนธรรมเก่าแก่ ของชนเผ่าทะเลทราย กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ แบบหุ่นยนต์ควบคุมระยะไกล
ทุกการแข่งขัน จึงเป็นเหมือนการ เฉลิมฉลองอัตลักษณ์ และแสดงให้โลกเห็นว่า แม้เราจะพัฒนา ไปข้างหน้าแค่ไหน ก็ยังรักษาหัวใจดั้งเดิม ไว้ได้อย่างภาคภูมิ
ในบางภูมิภาค การแข่งอูฐ ยังเป็นส่วนหนึ่ง ของการสืบทอดวัฒนธรรม สู่คนรุ่นใหม่ มีเยาวชนเข้าร่วมเรียนรู้ กระบวนการดูแลอูฐ ตั้งแต่เลี้ยงดู ไปจนถึงฝึกซ้อม เหมือนเป็นการ บ่มเพาะคนรุ่นใหม่ ให้เข้าใจรากเหง้า ผ่านกีฬา และเทคโนโลยี ที่เชื่อมโยงกันอย่างลงตัว
แข่งอูฐ มอเตอร์สปอร์ต คือการปะทะกัน ของฝุ่นทราย เสียงเครื่องยนต์ และเท้าอูฐ ที่เร็วสุดพลัง มันทั้งฮา ทั้งโหด ทั้งเท่ และสะท้อนความผูกพัน ระหว่างคน กับอูฐได้อย่างชัดเจน จากตำนานเร่ร่อน สู่วงการมอเตอร์สปอร์ต ทะเลทราย นี่แหละคือหนึ่งในกีฬาที่ “บ้าที่สุด แต่ก็น่ารักที่สุด” ในโลก
จริงจังสุด ๆ ทั้งสายพันธุ์ การฝึกฝน หุ่นยนต์จ็อกกี้ และเงินรางวัล ทุกอย่างถูกยกระดับ จนกลายเป็น อุตสาหกรรมกีฬา แบบเต็มตัว อูฐบางตัวมีราคาสูง ถึงหลายสิบล้านบาท และมีการซื้อขาย ผ่านบริษัทเอเจนซีเฉพาะทาง การจัดการทั้งหมด ไม่ต่างจากทีมแข่งรถ ฟอร์มูล่าวัน เลยทีเดียว
หุ่นยนต์จ็อกกี้ จะถูกติดตั้งบนหลังอูฐ และควบคุมด้วยรีโมต จากรถ SUV ที่วิ่งคู่ขนาน กับลู่วิ่ง โดยเจ้าของ หรือทีมงาน จะกดคำสั่งให้หุ่นยนต์ กระตุ้นอูฐ เช่น ตีแส้เบา ๆ หรือส่งเสียงเชียร์ ผ่านลำโพง ในตัวหุ่นยนต์